วัดในกัมพูชา เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและขอโชคลาภวัดที่1 วัดพระแก้วมรกต

วัดในกัมพูชา หรือเรียกโดยสรุปว่า วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ตั้งอยู่ด้านในพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นวัดในพระราชสำนักเหมือนกันกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ในวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา แล้วก็วัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระราชวัง กรุงเทพฯ ด้วยมีประเพณีที่คล้ายกัน แล้วก็ถูกผลิตด้วยแรงจูงใจจากวัดหลวงในจังหวัดกรุงเทพ ข้างในพระวิหารมีการปูเสื่อที่ทำมาจากเงินบริสุทธิ์ ทำให้วัดที่นี้มีชื่อเสียงในอีกชื่อหนึ่งว่า วิหารเงิน

วัดพระแก้วมรกตนับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวสำคัญของพนมเปญ เพราะว่าข้างในวัดมีโบราณสถานรวมทั้งของเก่าที่สำคัญหลายช่วง มักใช้สำหรับประกอบพิธีสำคัญหรือกิจกรรมระดับประเทศ อีกทั้งเป็นที่ใส่พระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุข้างในพระปรางค์คันธบุปผา

ระแก้วมรกตเป็นพุทธรูปสำคัญของพระวิหารนี้ มีขนาดเล็ก ติดตั้งอยู่บนมณฑป องค์พระทำมาจากคริสตัลสีเขียวของห้างบาการาคริสตัล (Baccarat Crystal) ในประเทศประเทศฝรั่งเศส ทำให้มีพุทธลักษณะที่ต่างออกไปจากพระพุทธมหามณีรัตนพุทธปฏิมากรในวัดพระศรีรัตนศาสดารามของไทยไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนที่เลียนแบบจากพระพุทธมหามณีรัตนพระพุทธรูปไปนั้น เพราะว่าข้างเขมรรู้เรื่องว่าพุทธรูปดังที่กล่าวถึงแล้วเคยตั้งในดินแดนของตนเองมาก่อน โดยอิงจากตำนานพระวัวพระแก้ว

แล้วก็ในราชดงษาวดาเกลื่อนกลาดรุงกัมพูชา อ้างถึงว่าพระแก้วมรกตเคยติดตั้งอยู่ในกรุงเขมรมาก่อน รายละเอียดเอ่ยถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จเสนกราช ในช่วงเวลานั้นกรุงอินทปรัตเกิดน้ำท่วมใหญ่ พระผู้เป็นเจ้าอาทิเช่นตยราช กษัตริย์กรุงอโยชนครมุ่งมาดปรารถนาที่กำลังจะได้พระแก้วมรกตไปไว้นครหลวง นครวัด มีความสําคัญอย่างไร

ก็เลยกราบบังคมทูลชักชวนกษัตริย์ เจ้าขุนมูลนายกรุงอินทปรัต พร้อมพระแก้วมรกตไปไว้กรุงอโยชนคร โดยสร้างพระวิหารเป็นวัดหลวงไปไว้อย่างดีเยี่ยม พอกรุงอินทปรัตน้ำแห้งลง พระบาทสมเด็จพระเสนกราชสิ้นพระชนม์ในอโยชนคร พระสิงหกุมารก็เลยทูลลาพระผู้เป็นเจ้าเช่นตยราชไปปลงพระบรมศพของพระราชบิดาที่กรุงอินทปรัต แต่ว่าพระเจ้าเช่นตยราชทูลขอพระแก้วมรกตไว้ พระสิงหกุมารมีความคิดว่า อโยชนครก็เป็นประเทศเอกราช แล้วก็มีพระคุณต่อกรุงอินทปรัต ก็เลยทูลตอบอนุญาต แล้วนิวัตกรุงอินทปรัตพร้อมด้วยพระบรมศพ

 

วัดในกัมพูชา

 

วัดในกัมพูชา ประวัติของ วัดพระแก้วมรกต จุดเริ่มต้นของการสร้างวัดนี้ขึ้น

วัดพระแก้วมรกตผลิตขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรสูดดม บรมรามเทวาวตารเมื่อ พุทธศักราช 2435 จนกระทั่ง พุทธศักราช 2445 มีพระยาเทวดานิมิต วาดเค้าเรื่องรวมทั้งแผนผังของวัด แต่ว่ามีนักออกแบบประเทศฝรั่งเศสชื่อ Alavigne เป็นผู้ดูแลความถูกต้องชัดเจน รวมทั้งสมเด็จพระมหาสังฆราช (เที่ยงตรง สุวณฺณเกสโร)

เป็นคนตรวจสอบ ด้านการก่อสร้างรวมทั้งตกแต่งตกแต่งทำโดยช่างเขมรรวมทั้งนักออกแบบประเทศฝรั่งเศสชื่อ Andrilleux จนกระทั่งเสร็จรวมทั้งสมโภชในปี พุทธศักราช 2446 รวมเป็นเงินทั้งสิ้นห้าแสนเรียล ในหนังสือ เอกสารมหาบุรุษเขมร กล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารทรงพระราชทานนามศาสนสถานที่นี้ว่า

วัดโบสถ์รตนาราม ดังปรากฏความว่า “…พระบาทสมเด็จพระนโรดมทรงพระยินดีพ้นราวๆ ทรงพระข้อบังคับให้เรียกนามวัดว่า โบสถ์รตนารามพระแก้วมรกต” วัดพระแก้วมรกตเป็นสถานที่สำหรับพระเจ้าแผ่นดินทรงศีลโบสถ์ทุกเมื่อเชื่อวันโบสถ์ และก็เป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของพระบรมวงศานุวงศ์รวมทั้งเจ้าขุนมูลนาย

วัดพระแก้วมรกตได้รับอิทธิพลการก่อสร้างจากสถาปัตยกรรมไทยพอเหมาะพอควร ส่วนใดส่วนหนึ่งก็เนื่องจากว่า พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวดาวตาร ผู้ผลิตวัด, พระยาเทวดานิมิต (มัก) นักออกแบบ แล้วก็สมเด็จพระมหาสังฆราช (เที่ยงตรง สุวณฺณเกสโร) ที่ปรึกษา นครวัด นครธม

ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่เติบโตแล้วก็เข้ารับการศึกษาเรียนรู้ที่จังหวัดกรุงเทพมหานครยาวนานหลายปี ก็เลยเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัดหลวงที่นี้ได้รับอิทธิพลจากไทยไปๆมาๆก พึงระวังว่าชื่อวัดโบสถ์รตนาราม คล้ายกับชื่อวัดพระศรีรัตนศาสดารามของไทย แล้วก็มีธรรมเนียมปฏิบัติคล้ายกันมากมาย

วัดที่นี้ไม่มีพระภิกษุจำพรรษาเหตุเพราะเป็นวัดที่ตั้งอยู่ข้างในพระบรมราชวัง แต่ว่ามีครั้งเดียวในปี พุทธศักราช 2470 ที่พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงบวชและก็จำพรรษาในวัดที่นี้หนึ่งปี และก็ในรัชกาลนี้เองได้มีการซ่อมวัดพระแก้วมรกตขึ้นใหม่ในปี พุทธศักราช 2505 จนกระทั่ง พุทธศักราช 2513 ตรวจตราโดยพระยาวังวรเวียงชัย (ซาน ย็วน)

พระวิหารพระแก้วมรกต เป็นสถานที่สำหรับติดตั้งพระแก้วมรกต สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร โดย Andrilleux นักออกแบบชาวประเทศฝรั่งเศสนำเครื่องไม้เครื่องมือช่างมาใช้เพื่อสำหรับในการก่อสร้าง มีสมเด็จพระมหาสังฆราช รวมทั้งพระธรรมลิขิต

รอตรวจสอบการก่อสร้างทุกวี่ทุกวัน วิหารเป็นทรงจตุรมุข ด้านในกว้าง 11 เมตร 40 ซม. ยาว 31 เมตร 60 ซม. มีประตู 8 ประตู รวมทั้งหน้าต่างอีก 16 บาน จิตรกรรมข้างฝาผนังทำเป็นรูปเทวดานิมิตในเรื่องคัมภีร์ปฐมสมโพธิ แล้วก็สิบชาติล้อม กึ่งกลางสร้างเป็นบัลลังก์เพชร มีดอกบัวตูมซ้อนเกสรสำหรับตั้งพระแก้วมรกต ข้างบนพุทธรูปมีฉัตรขาว เมื่อสร้างเสร็จก็เลยจัดพิธีสังสรรค์การบรรจุสีมาช่วงวันที่ 5 เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2445

ในอดีตกาลนับว่าวิหารของวัดพระแก้วมรกตมีขนาดใหญ่แล้วก็งามที่สุดในกรุงพนมเปญ ดังปรากฏในพระนิพนธ์ นิราศนครวัด ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์คุณ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ความว่า “…ขนาดโบสถ์ เว้นแต่วัดพระแก้วที่ในวัง
จะหาใหญ่เท่าวัดมงกุฎกษัตริย์หรือวัดเบิกบานวิหารไม่มีเลย ความสามารถสร้างจะหาน่ากล่าวสรรเสริญไม่อยากเจอ” และก็ทรงกล่าวไว้อีกความว่า “โบสถ์นั้นทำเป็นทรงโบสถ์สามัญแต่ว่ามียอดวัง ภายในอุโบสถปูกระเบื้องเงิน ฝาหว่างหน้าต่างเขียนเรื่องคัมภีร์ปฐมสมโพธิ กึ่งกลางโบสถ์มีฐานจุกชี ตั้งแท่นรองพระแก้ว”

วิหารที่นี้เริ่มย่ำแย่ลงตามเวลา สมเด็จพระมหากษัตริยานีสีสุวัตถิ์ กุสุมะ ผู้หญิงรัตน์ สิรีวัฒนามีความคิดที่จะซ่อมแซมวิหารขึ้นใหม่ใน พุทธศักราช 2505 ปฏิบัติโดยการถอดถอนวิหารเดิมแล้วผลิตขึ้นใหม่ โดยอาจจะลักษณะของสถาปัตยกรรมเดิมไว้ แต่ว่าเพิ่มเติมอีกด้วยการปูเสื่อที่ทำมาจากเงินบริสุทธิ์ 5,329 แผ่น รวมทั้งเสริมแต่งหินอ่อนจากประเทศอิตาลี คิดเป็นเงินทั้งผอง 20 ล้านเรียล

 

วัดกัมพูชาแห่งที่2 กับ นครวัด อีกหนึ่งสถานที่สำคัญของประเทศกัมพูชา

นครวัด กัมพูชา เป็นศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดิมนั้นทำขึ้นเป็นเทวลัยในศาสนาฮินดูเพื่ออุทิศแก่พระวิษณุ ก่อนที่จะเบาๆเปลี่ยนเปลี่ยนเป็นวัดในพุทธในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12

นครวัดสร้างขึ้นในตอนต้นของคริสศตวรรษที่ 12 โดยพระผู้เป็นเจ้าสูรยวรรมันที่ 2 ที่เมืองจังหวัดยโสธรปุระ (ในตอนนี้เป็นเมืองเมืองหลวง) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิเขมร ทำขึ้นเพื่อเป็นเทวลัยประจำเมืองและก็เป็นหลุมฝังศพฝังพระศพ ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนการเชื่อถือในลัทธิไศวนิกายของกษัตริย์องค์ก่อนๆ

เหตุเพราะนครวัดนั้นสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่พระวิษณุแทนที่จะเป็นพระศิวะ และก็เพราะว่าเป็นพระราชวังที่ได้รับการอนุรักษ์และรักษาเยี่ยมที่สุดในรอบๆที่ตั้งรอบๆ นครวัดก็เลยเป็นวังเพียงแต่ที่เดียวที่ยังคงความเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่มีความจำเป็นมาตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง

โดยนครวัดถือจุดสุดยอดของแบบอย่างการสร้างสถาปัตยกรรมเขมรแบบเริ่มแรก รวมทั้งได้เปลี่ยนเป็นเครื่องหมายของประเทศเขมร มีการปรากฏอยู่บนธงชาติ และก็ได้เป็นสถานที่เที่ยวของราชอาณาจักรกัมพูชาที่มีความหมายที่สุดในกลุ่มนักเดินทาง

นครวัดได้รวมเอาการวางแผนผังฐานรากในสถาปัตยกรรมเขมรสองแบบมาใช้ประกอบเข้าด้วยกัน ซึ่งก็ได้แก่ แผนผังการสร้างวังให้เปรียบเสมือนเทือกเขา (พระราชวังบนฐานชั้น) และก็การสร้างวังแบบมีระเบียงคดที่มีภาพสลัก การสร้างวังลักษณะนี้ได้สื่อถึงเขาพระสุเมรุ

ซึ่งเป็นสถานที่ที่สถิตของเทพเทวัญในปกรณ์ของศาสนาฮินดู ภายนอกมีคลองน้ำรวมทั้งกำแพงล้อม ความยาวรวมกว่า 3.6 กิโล โดยตัวพระราชวังมีระเบียงคดสี่เหลี่ยมที่มีภาพสลักทั้งหมดทั้งปวงสามชั้น แต่ละชั้นตั้งอยู่สูงยิ่งกว่าด้านล่าง กึ่งกลางของพระราชวังเป็นพระปรางค์ที่มีทั้งผอง 5 ยอด

นครวัดมีความต่างจากวังในเมืองหลวงพระราชวังอื่นๆเพราะว่ามีการเบือนหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งนักวิชาการต่างก็มีความเห็นที่ต่างกันออกไปในเรื่องนัยยะของการสร้างในรูปแบบนี้ นครวัดยังได้รับการเชิดชูในด้านความสวยงามรวมทั้งความสอดคล้องของตัวสถาปัตยกรรม อาทิเช่น ภาพสลักนูนต่ำที่ใหญ่มหึมา รวมทั้งภาพเทวดาที่มีการตกแต่งตามฝาผนังจำนวนมาก

นครวัดรวมทั้งอาคารบ้านเรือนอื่นๆที่อยู่ใกล้เคียงในจังหวัดเสียมเรียบขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติในชื่อ “เมืองพระนคร (อังกอร์)” ใน คริสต์ศักราช 1992

 

วัดในกัมพูชา

 

ประวัติการเกิดของวัดแห่งนี้ ที่ได้ถูกค้นพบอย่างเป็นทางการ

เรื่องเล่า นครวัด ตามตำนานแล้ว การก่อสร้างพระราชวังนครวัดนั้นสร้างขึ้นตามคำสั่งของพระอินทร์ ซึ่งอยากสร้างวังนี้ให้เป็นวังที่ประทับของพระลูกชายของท่าน ตามบันทึกในตอนคริสศตวรรษที่ 13 ของนักทัศนาจรนามว่า โจว ตากวน ได้กล่าวว่ามีผู้คนนิดหน่อยเช้าใจกันว่าพระราชวังที่นี้สร้างขึ้นโดยเทพที่สถาปัตย์ในเวลาเพียงแค่หนึ่งคืน

นครวัด อยู่ที่ไหน การออกแบบในขั้นแรก แล้วก็การก่อสร้างตัวพระราชวังเริ่มขึ้น ในตอนครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 12 ในตอนรัชสมัยของพระเจ้าสูรยวรรมันที่ 2 (ครองบัลลังก์ในปี คริสต์ศักราช 1113-1150) โดยทำขึ้นเพื่อเป็นพระราชวัง ประจำท่านรวมทั้งประจำเมืองนครหลวง เพื่ออุทิศให้แก่พระวิษณุ แล้วก็เพราะว่าไม่มีการเจอหลักฐาน ที่เป็นจารึกยุคการก่อสร้างหรือจารึกยุคใหม่ที่บอกว่าได้มีการสร้างวังขึ้น ก็เลยไม่สามารถที่จะรู้ชื่อเริ่มแรกของพระราชวังได้

แต่ว่าบางทีอาจมีชื่อเสียงกันในชื่อ “พระราชวังวิษณุโลก” ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งตามเทวดา องค์ประธานของพระราชวัง คาดกันว่าการก่อสร้างคงจะหยุดลง ไม่นานข้างหลังการสิ้นพระชน ของพระเจ้าสูรยวรรมันที่ 2 ทำให้ภาพสลักนูนต่ำนิดหน่อยนั้นยังสลักไม่เสร็จสิ้น ในปี 1177 ข้างหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าสุรยวรรมันที่ 2 ราว 27 ปี เมืองนครหลวงถูกครอบครองโดยชาวจามที่เป็นศัตรูเดิมของชาวเขมร ตอนหลังก็เลยมีการฟื้นฟูอาณาจักรขึ้นมาอีกทีโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งได้แต่งตั้งเมืองหลวงแล้วก็พระราชวังประจำเมืองที่ใหม่ขึ้นเป็นนครธมแล้วก็พระราชวังบายน เป็นลำดับ ซึ่งอยู่ห่างจากนครวัดไปทางด้านเหนือไม่กี่กม.

ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 นครวัดได้เบาๆเปลี่ยนจากศูนย์กลาง ทางจิตใจในศาสนาฮินดู ไปเป็นพุทธซึ่งก็ได้สืบไปมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ นครวัดมีความต่างจากวังอื่น ในเมืองเมืองหลวง ถึงแม้ตัวพระราชวัง จะหมดจุดสำคัญลงไปข้างหลังคริสศตวรรษที่ 16 แม้กระนั้นตัวพระราชวังกลับไม่เคยถูกทิ้งร้างอย่างสมบูรณ์เลย ซึ่งไม่เหมือนกับวังข้างหลังอื่นๆในเมืองนครหลวง วังที่นี้ได้รับการปกป้องคุ้มครอง จากการล่วงล้ำของป่าเนื่องแต่ข้อพิสูจน์ที่ว่าคลองน้ำรอบวังนั้นได้สามารถปฏิบัติภารกิจปกป้องวังได้

หนึ่งในฝรั่งคนแรกๆ ที่ได้ประสบพบเห็นนครวัดเป็น แอนโตนิโอ ดา มาดาลีนา นักบวชชาวโปรตุเกส ผู้เดินทางมาถึงในปี 1586 และก็กล่าวเอาไว้ว่านครวัดเป็น “อาคารบ้านเรือนที่น่าประหลาดใจ ซึ่งไม่อาจจะชี้แจงมันออกมาผ่านปลายปากกาได้ ที่สำคัญเป็น วังข้างหลังนี้ไม่ราวกับอาคารบ้านเรือนอะไรก็ตามบนโลกนี้เลย พระราชวังมียอดหลายยอด มีการตกแต่ง แล้วก็มีความวิจิตรที่มีเพียงแต่คนอัจฉริยะเท่านั้นที่จะสามารถประดิษฐ์ออกมาได้แบบนี้”

ในตอนคริสต์ศตวรรษที่ 17 นครวัดมิได้ถูกทิ้งร้างโดยบริบูรณ์ ยังคงปฏิบัติหน้าที่เป็นวัดในพุทธอยู่อาทิเช่นเดิม มีการศึกษาและทำการค้นพบแผ่นจารึกที่แก่อยู่ในตอนคริสต์ศตวรรษที่ 17 กว่า 14 หลักในรอบๆพื้นที่เมืองเมืองหลวง เจาะจงถึงผู้จาริกแสวงบุญคนประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้จาริกแสวงบุญในพุทธ ที่ได้มาตั้งชุมชนเล็กๆ ชิดกับชาวเขมรเขตแดน โดยในขณะนั้นคนญี่ปุ่นที่มาเยี่ยมนครวัดมีความคิด ว่าพระราชวังที่นี้เป็น สวนของสงฆ์เชตวันมหาวิหารอันโด่งดัง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตามที่เป็นจริงแล้วตั้งอยู่ในแคว้นมคธ อินเดีย โดยจารึกที่มีชื่อเสียงกันสูงที่สุดเป็นจารึกเรื่องราวของอูกนดายุ ติดอยู่ซูฟูสะ ผู้แสวงบุญผู้ได้เฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่เขมรที่นครวัดในปี คริสต์ศักราช 1632

บทความหวยอื่น>>> วัดในลาว

ดูหนังออนไลน์ได้ที่นี่>>> หนังออนไลน์ล่าสุด

แทงบอลออนไลน์ที่นี่>>> แทงบอล